วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเสพยาแก้ไอ เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่

การเสพยาแก้ไอ เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่

ตอนนี้คาดว่าทุกคนคงตระหนกตกใจกับข่าวที่เด็กนักเรียนวัดท่าพระกว่า 50 ราย เสพยาแก้ไอ dextromethrophan เกินขนาด โดยรุ่นพี่ซื้อยาแก้ไอจากร้านเกมส์ มาเสพและขายต่อให้รุ่นน้อง โดยอ้าง ว่าลดการเจ็บปวดจากการถูกทำโทษ และสมองปลอดโปร่ง หน้าขาวนวล ซึ่งปัจจุบันพบมากขึ้นว่าการนำมาใช้เพื่อให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้ม หรือหวังผลให้เกิดการเมาโดยไม่ต้องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเอามาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ไม่ให้เกิดอาการเจ็บปวด เมื่อถูกครูทำโทษ(ตี)พอฟังผู้จำหน่ายกล่าวเหตุผลแล้วยิ่งรู้สึก อ่อนอกอ่อนใจ สะท้อนสภาพสังคมไทย แทนที่จะช่วยกันตักเตือนหรือวางมาตรการที่เข้มแข็งกลับส่งเสริมแนะนำไปในทาง ที่ผิด ที่ว่าเป็นเรื่องเก่า เพราะเดิมมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในคนไข้กลุ่มที่ติดยาแต่ไม่ค่อยจะมีเงิน หรือคนไข้จิตเวชบางกลุ่ม โดยทราบมาว่ากลุ่มผู้ป่วย หรือกลุ่มคนเหล่านี้จะใช้ยาแก้ไอน้ำสูตรที่มี Dextromethrophan Hbr มาผสมกับน้ำอัดลมดื่มกัน หลังจากที่มีการปราศระงับการใช้ยาแก้ไอที่มีสูตรโคดีอีน เพราะเป็นสารเสพติด ปกติยาตัวนี้เป็นยาแก้ไอหากกินในขนาดที่แพทย์สั่งจะช่วยในการระงับอาการไอ แต่กลุ่มผู้หัวใส ก็นำมาใช้ผสมให้มากกว่าขนาดรักษา เพื่อให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้ม (euphoria) เหมือนการเสพสุรา ซึ่งต่างจากข่าวที่ออกมาครึกโครมสองสามวันนี้ที่ใช้ยาเม็ดมาบริโภคเพื่อให้ เกิดอาการเคลิบเคลิ้มในปริมาณที่มากกว่า 5-10 เม็ดขึ้นไป ซึ่งก็เข้าอีหรอบเดิมแหละครับ แต่ข่าวคราวนี้จะช่วยปลุกกระแส การตระหนักถึงปัญหาการใช้ยากลุ่มนี้ ตลอดจนการปฏิรูประบบร้านขายยาในประเทศไทยอีกครั้งก็เป็นไปได้

ราวกลางปี พศ. 2548 FDA ของอเมริกา เคยประสบปัญหาการใช้ยาแบบเดียวกันในผู้ป่วยกลุ่มเด็กโตและวัยรุ่นและได้ ประกาศทางเว็บไซต์เผยแพร่ และกังวลกับผลกระทบจากการใช้ยาแก้ไอนี้ผิดวิธี พราะเป็นกลุ่มยาที่สามารถหาซื้อง่าย และจัดเข้ากลุ่มยาบรรจุเสร็จ สามารถซื้อขายได้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ หลังจากมีวัยรุ่นเสียชีวิตราว 5 ราย ด้วยการใช้ยา dextromethrophan เกินขนาดในรูปผงบรรจุแคปซูล
ปกติยาชนิดนี้ ใช้เป็นยาแก้ไปประเภทที่กดศูนย์การไอ หรือเราเรียกว่า cough suppressant ซึ่งไม่ค่อยนิยมใช้ในเด็กเล็ก เพราะจะทำให้เสมหะไม่ระบายออกหากกดอาการไอแต่สามารถใช้ในเด็กโต หรือผู้ใหญ่ในขนาดรักษาได้โดยปลอดภัย แต่เมื่อมีการใช้ยาเกิดขนาดรักษา เช่นผู้ที่มุ่งหวังมาใช้เสพ เพื่อให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มซึ่งมักต้องใช้ในขนาดที่สูงกว่าปกติ อาจทำให้เกิด อาการเมา เคลิบเคลิ้ม สุขสบาย หากสูงมาก ๆ หรือบริโภคเป็นเวลานาน ๆ จะสามารถทำลายสมอง ชัก หมดสติ อาการทางจิต หรือการเต้นหัวใจที่ผิดปกติ การนำมาใช้ผิดวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เดิมเคยมีรายงานมานานแล้ว และรูปแบบการใช้ยังประยุกต์ใช้ ตั้งแต่ยาแก้ไอน้ำ(ผสมน้ำอัดลม) เม็ด หรือนำมาบดเป็นผงใส่ capsule และมีการขายอย่างแพร่หลายให้ผู้ที่เสพสารเสพติดในหลาย ๆ ประเทศ และเนื่องจากสามารถซื้อขายได้ง่ายทำให้เกิดการแพร่กระจายการใช้ในรูปแบบนี้ ซึ่งพบปัญหาในหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะอเมริกา

Dextromethrophan หรือชื่อย่อ DXM การใช้แก้ไอในขนาดที่แพทย์สั่งจะมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย แต่การนำมาใช้ในทางที่ผิดไม่ว่าจากการแนะนำต่อ หรือผู้ป่วยค้นพบผลการเคลิ้มสุขได้ด้วยตนเองนั้น เราเรียกว่าการใช้ในทางที่ผิด หรือ “abuse” ทางโครงสร้างยานั้น มีความใกล้เคียงกันกับยาโคเดอีน ค่อนข้างมาก ต่างกันเล็กน้อย แต่ไม่กดศูนย์ควบคุมการหายใจ เช่นเดียวกับยาสูตรโคดีอีน
กลไกการออกฤทธิ์ นั้น DMX เป็น dextro isomer คล้ายกันกับตัวต้นแบบของโคดีอีน ซึ่งก็คือ levorphanol แต่โมเลกุลหมุนบิดไปด้านขวา ทำให้กลไกการออกฤทธิ์ต่างกันไป ตัวยาจะไประงับการไอโดยออกผลที่ศูนย์ควบคุมการไอที่สมองส่วนเมดดัลลา ซึ่งอยู่ในบริเวณแกนสมอง โดยไปเพิ่ม threshold (กำแพง)ของศูนย์ควบคุมการไอ ทำให้ไอน้อยลง (ออกฤทธิ์ที่ opiate alpha receptor) แต่จะไม่มีฤทธ์แบบ opiate หรืออนุพันธฺฝิ่น ซึ่งกดการไอ ระงับอาการปวด กดการหายใจ และเสพติด ในขนาดที่แพทย์แนะนำให้ใช้ ยาจะโดซึมทางลำไส้ได้ดีออกฤทธิ์เร็วภายใน ครึ่งชั่วโมงหลังกิน เมื่อเข้าสู่ร่างการจะถูกเอนไซม์ในตับเปลี่ยนรูป (Cyp P450 isoenzyme 2D6) ให้เป็น dextrophan ซึ่ง active และสามารถจับและยับยั้งที่ NMDA Receptors ทำให้เกิดอาการเคลิ้มสุข จนถึงอาการประสาทหลอน กระตือรือร้น เหมือนการออกฤทธิ์จากยา Phencyclidine ที่เป็นยาจิตเวช และอาจออกฤทธิ์ที่ serotonin receptor เหมือนกลุ่มยา LSD ที่เป๋นสารเสพติดนิยมกันในสมัยก่อน ดังกล่าวจะเห็นว่าผลการออกฤทธ์ จะออกแตกต่างกันไป เพราะ เอ็นไซม์ Cyp P450 isoenzyme 2D6 ที่นำมา metabolite ให้เกิดสาร Active metabolite นั้น มีส่วนเก่ยวข้องกับพันธุกรรม เพราะสร้างออกมาไม่เท่ากัน ทำให้สาร dextrophan ที่ถูกเปลียนโดยตับนั้นสร้างออกมาแปรผันกันไป ถ้า metabolite ยาได้มาก(มี เอนไซม์มาก) ก็จะมีอาการได้มากและเร็วกว่า ขนาดของยาที่ใช้ได้โดยปลอดภัยนั้น ในเด็กแนะนำให้ใช้ Dextromethrophan Hbr (Romilar) 1mg/kg/day tid-qid (15 mg/tab) ไม่แนะนำให้ใช้ในการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในกรณีที่มีเสมหะ หรือไอมีเสมหะ เพราะจะกดการไอ ยาแก้ไอน้ำมักมีตัวยาอยู่ 10mg/5 ml(หรือ 1 ช้อนชา) ยาอมจะมี 5mg/เม็ด (ซึ่งผมไม่เคยใช้)


ขนาดที่แนะนำโดยฉลากยา ขนาดใช้ยาในเด็ก : อายุต่ำกว่า 2 ปี : ใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น , อายุ 2-5 ปี : รับประทานยาน้ำเชื่อมครั้งละค่อน (1/4)-1 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง เมื่อมีอาการไอ ,อายุ 6-12 ปี: รับประทานยาน้ำเชื่อมครั้งละครึ่ง (1/2)-1 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมงหรือยาเม็ด ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6-8 ชั่วโมงตามอาการที่เป็น สำหรับยาอม ให้อมครั้งละ 1 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง
ขนาดใช้ยาในเด็กอายุมากกว่า 12 ปีและผู้ใหญ่ รับประทานยาน้ำเชื่อมครั้งละ 1 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมงหรือ ยาเม็ด ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 6-8 ชั่วโมงตามอาการที่เป็น สำหรับยาอมให้อมต่อเนื่อง 2 เม็ด ทุก 4-8 ชั่วโมง ขนาดที่ปลอดภัยใช้ในเด็กโตหรือผู้ใหญ่คือ 15-30 มก. แต่ผู้ที่ใช้ในทางที่ผิดมักต้องใช้ในขนาดสูง คือราว 360 มก.(ตั้งแต่ 3-10 เม็ดขึ้นไป ต่อครั้ง) โดยสามรถทำให้เกิดอากรเคลิ้มสุข(euphoria) ไปจนถึง อาการประสาทหลอน คล้ายกับผลของยา phencyclidine หรือ ketamine (ยา K) และจะออกฤทธิ์ยาวประมาณ 6 ชม. จึงจะหมดฤทธิ์ ไปเอง พบรายงานหากใช้ในขนาดสูง อาจทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว เกิดภาพหลอน ทำร้ายผู้อื่น ชัก หรือเสียชีวิตได้ อาการสังเกตุของการได้รับพิษเฉียบพลันจากการได้รับ DMX เกินขนาด ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ มึนงง ง่วงนอน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน ม่านตาขยาย พูดไม่ชัด เคลิบเคลิ้ม หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะไม่ออก ประสาทหลอน หรือ กระวนกระวาย สั่นเทิ้ม ชัก ปวดศีรษะ ทั้งนี้ยา Dextromethrophan ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม คือผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 125 มิลลิกรัม หรือ 8 เม็ดต่อวัน ส่วนเด็กไม่ควรเกิน 62 มิลลิกรัม หรือ 4 เม็ดต่อวัน

ผลต่อเซลสมองอาจถูกทำลายถาวร หมดสติ และอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่จะไม่มีผลกดการหายใจ และภาวะรูม่านตาเล็ก เหมือนอนุพันธ์ฝิ่น หากใช้ในปริมาณมากมักจะมีอุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติโดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่ มีอากาศร้อน ถ่ายเทได้ไม่สะดวกหรือร่วมกับการออกกำลังกายหนัก ๆ ในบางครั้งตัวยาจะผสมยาแก้แพ้เช่น CPM อยู่ประมาณ 2-4 mg ก็จะส่งเสริมให้เกิดอาการง่วงซึมมากขึ้น

Dextromethorphan เป็นที่รู้จักดีในหมู่วัยรุ่นในหลาย ๆ ประเทศ ว่าเป็นยาที่สามารถนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยมีชื่อเรียกที่เป็นคำเฉพาะในหมู่ผู้ใช้ ได้แก่ red devil, poor man’s PCP, DXM, CCC, robo, และ Dex พบว่ามีข้อมูลมากมายในเว็บไซต์กลับแนะนำให้ใช้ยาไปในทางที่ผิด ใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดฤทธิ์เคลิ้ม และมีขายทางอินเตอร์เนตอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากยาหาง่าย ควบคุมยาก จากประสบการณ์ที่ได้รับการบอกเล่ามา เมื่อครั้งไปฝึกงานที่อเมริกา แพทย์ที่นั่นกล่าวว่าหากโรงเรียนค้นพบว่าเด็กพกยากลุ่มนี้ ร่วมกับพฤติกรรมชวนสงสัย เช่นพบยาในตู้เก็บของส่วนตัว ในปริมาณมากกว่าปกติ จะถูกจับตามองเป็นพิเสษ แต่ก้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องปกติที่บางครั้งผู้ปกครองอาจพบว่าเด็กพกยานี้ เห็นในห้องนอน ก็อาจเป็นเรื่องปกติทั่วไปได้ การใช้ยานี้เป็นเวลานาน ๆ นอกจากผลจากยา dextrophan ซึ่งเป็นผลจาการเมตาโบไลต์แล้ว ยังสามารถเกิดพิษจกากรสะสมของเกลือไฮโดรโบรไมด์ (HBr) ได้ เพราะยามักถูกเตรียมในรูปนี้ แต่อาการพิษน้อยกว่า เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย จนถึงหมดสติ หยุดยาจะหายไป

จากการสำรวจในต่างประเทศพบว่าขนาดที่ผู้ป่วยมักจะใช้คือ 8 เม็ดหรือ 16 เม็ด ( 2-60 เม็ด) เนื่องจากยามีขนาดบรรจุแผงละ 8 เม็ด จึงพบว่าผู้ป่วยมักจะกินครั้งละ 1-2 แผง การกินด้วยขนาด 8-16 เม็ดนี้ เป็นช่วงไม่นานนักมักจะไม่เกิดพิษจากโบรไมด์ ผลระยะยาวต่อสภาวะจิตใจยังไม่ทราบแน่ชัด จากการเฝ้าสังเกตการเป็นเวลาหลายเดือนมีรายงานว่ามีผู้กิน dextromethorphan 1500 มก.(10 เม็ด) ในคราวเดียว จะมีอาการเหมือนวิกลจริตเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงหลังจากกินยา จากนั้นตามด้วยอาการ ซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย และนอนไม่หลับ เมื่อหยุดยาอาการเหล่านี้จะหายไป

จะทำอย่างไรเมื่อ พบว่าบุตรหลานใช้ยา MDX ในทางที่ผิดหรือเกินขนาด ถ้ากินปริมาณมากภายในหนึ่งชั่วโมง รีบนำส่ง รพ. อาจใส่สาย เพื่อช่วยล้างท้องแต่ถ้านานกว่าหนึ่งชั่วโมงมักไม่ค่อยช่วย ใช้ ผงถ่าน (activated charcoal) 1 กรัม/ น้ำหนักตัว1 กก. ผงถ่านจะจับกับ dextromethorphan ได้ดี ให้กินเป็นระยะทุก 6 ชม. อาจต้องรับตัวไว้ดูอาการใน รพ. หากกินไม่มากเพียงแค่สังเกตอาการรอให้ยาหมดฤทธิ์เอง ปรึกษากุมารแพทย์ จิตเวชเด็ก เพื่อให้คำแนะนำและรับทราบขั้นตอนในการเลิกยา ซึ่งง่ายกว่ายาเสพติดอื่น เพราะไม่ค่อยมีอาการทางกายของการอยากยา

สรุปที่นำมาเล่าวันนี้ ว่าเป็น เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพราะปัญหามีมานานแล้ว ทั้งระบบซึ่งถ้าสื่อไม่ออกมาขยายผลคงจะไม่มีการปฏิรูประบบและปลูกฝังจิต นิสัย ช่วยเหลือแนะนำในทางที่ถูกไม่ใช่กลับแนะนำไปในทางที่ผิดอย่างที่เห็นเป็น ข่าวกัน ฝากกุมารแพทย์ทุก ๆ ท่าน เภสัชกร คุณครู ผู้ปกครอง การจัดการระบบร้านขายยาและร้านเกมส์ ด้วยนะครับ ช่วย ๆ กัน


อาจารย์นายแพทย์ ศักดา อาจองค์, พบ, บธบ.
SAKDA ARJ-ONG, MD, BBA, MS.ICT
PHD program of clinical epidemiology,
Pediatrist, Pediatric Cardiologist & Intervention Ped.Cardiology
Family physicians, Emergency physicians.
Emergency Medicine, Ramathibodi Hospital, Mahidol University

Reference Pictures from :
www.projectghb.org/prescription_drug.htm
www.eztest.com/shop/article.php?article_id=34
www.dmhweb.dmh.go.th/jvsk/CPSY2/HosMed3.htm
www.indiamart.com/pragatirawpharma/chemicals.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น